

รับมืออย่างไรเมื่อเข้าสู่ “วัยทอง” เช็คดูคุณเข้าข่ายแล้วยัง
อารมณ์แปรปรวน รู้สึกร้อนวูบวาบ มีความกังวล ซึมเศร้า บางทีสิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนของโรคซึมเศร้าอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเตือน ‘วัยทอง’ ที่เกิดขึ้นได้เมื่อคนเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น และนอกจากอายุแล้วอาการแบบไหนล่ะ ที่บอกว่าคุณกำลังตกอยู่ในภาวะวัยทอง เพื่อไม่ให้พลาดวันนี้เรามีความรู้ดี ๆ มาฝาก
วัยทองคืออะไร? อาการเป็นอย่างไร
วัยทอง (Menopause) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับกลุ่มสุภาพสตรีที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน โดยรังไข่จะหยุดสร้างฮอร์โมนเพศหญิงที่ชื่อว่าเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตประจำเดือนได้แล้ว และเฉลี่ยแล้วผู้หญิงไทยที่เข้าสู่วัยทองจะมีอายุประมาณ 48 – 52 ปี ดังนั้นหากคุณอยู่ในช่วงอายุดังกล่าวแล้วประจำเดือนขาดหายไปครบ 1 ปี หมายความว่ารังไข่ได้หยุดทำงานแล้ว และถือว่าเข้าสู่วัยทองอย่างสมบูรณ์ และสาว ๆ หลายคนก็เริ่มตั้งคำถามว่านอกจากเรื่องอายุและการหมดประจำเดือนที่เป็นสัญญาณของวัยทอง วัยทองมีอาการอื่น ๆ ที่เข้าข่ายอีกหรือไม่ คำตอบคือมี โดยอาการวัยทองที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัด มีดังนี้
- มีอาการร้อนวูบวาบ (hot flush) เกิดขึ้นหลายจุดโดยเฉพาะบริเวณลำตัวส่วนบน เช่น บริเวณหน้า ลำคอ และหน้าอก มักมีอาการเกิดขึ้นนานประมาณ 15 นาที ร่วมกันกับอาการอื่น ๆ ได้แก่ เหงื่อออก หนาวสั่น วิตกกังว หรือใจสั่น โดยอาการเหล่านี้อาจมีการรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และทำให้นอนหลับได้ยากขึ้นได้
- ช่องคลอดแห้ง ติดเชื้อ และคันในช่องคลอด บางรายอาจรู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
- โรคกระดูกพรุน
- โรคไขมันในเลือดเพิ่มสูง วัยทองมักมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันมากขึ้น เนื่องจากร่างกายขาดเอสโตรเจน เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนจะทำหน้าที่สำคัญในการลดไขมันไม่ดี(LDL) ในร่างกาย
- มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์
- เกิดความรู้สึกซึมเศร้า อารมณ์หงุดหงิด และมีความวิตกกังวลได้ง่ายขึ้น
- ผิวหนังแห้งเหี่ยวและบาง ขาดความยืดหยุ่น เป็นแผลและกระได้ง่าย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าไม่เคยเป็นมาก่อน

รับมือกับวัยทองได้อย่างไร?
- ผู้หญิงวัยทองจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ ปลาตัวเล็ก ผักใบเขียว เป็นต้น โดยแคลเซียมที่รับประทานเข้าไปจะมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน ที่สำคัญจะต้องควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือดด้วยการหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และเลือกกินอาหารที่ย่อยง่ายเพื่อช่วยในการขับถ่าย
- หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเลือกเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ เต้นรำ รำมวยจีน เต้นแอโรบิก เป็นต้น
- ฝึกการควบคุมอารมณ์ให้มีความคิดในทางบวก และทำจิตใจให้แจ่มใสเบิกบาน ไม่คิดเล็กคิดน้อย
- ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอปีละ 1 ครั้ง
- ตรวจเช็คความดันโลหิต
- ตรวจเลือดหาระดับไขมัน
- ตรวจภายในเช็คมะเร็งปากมดลูก
- ตรวจหามะเร็งเต้านม (Mammography)
- ตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density)
- ตรวจระดับของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับวัยทอง
- ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณารับฮอร์โมนทดแทน ในกรณีที่สตรีวัยทองมีอาการต่างๆ มาก หรือตรวจพบความผิดปกติ เช่น กระดูกบาง หรือกระดูกพรุน และมีความจำเป็นจะต้องได้รับฮอร์โมนเพิ่มเติม แพทย์จะพิจารณาให้ฮอร์โมนทดแทนตามความเหมาะสม
และทั้งหมดนี้คือการเตรียมตัวรับมือเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยทองที่เรานำมาฝาก หากสาว ๆ คนไหนมีอาการต้องสงสัยจะได้ช่วยรับมือได้อย่างทันการ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจเปลี่ยนแปลงไปเมื่อคุณเข้าสู่วัยนี้ และหากอาการเหล่านี้เริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน แนะนำให้ทำประกันสุขภาพเพื่อไว้ใช้เข้าปรึกษาและตรวจสุขภาพวัยทองกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว และเพื่อให้ตัวคุณรวมถึงคนรอบข้างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ความผิดพลาดของละครไทยกับการแพทย์ ทำให้คนเข้าใจผิดกันเยอะ
ความสมจริงของฉากเข้าโรงพยาบาล ที่ผู้ชมต้องการเห็น
วงการหนัง ละคร และซีรีส์ไทย แม้จะพยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา ทั้งตัวละครที่มีความหลากหลาย พล็อตเรื่องใหม่ ๆ การนำเสนอเนื้อหาที่ส่อสังคมมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดต้องยอมรับเลยว่าหนึ่งฉากที่มักปรากฏอยู่ในละครทุกเรื่องคือ ‘ฉากเข้าโรงพยาบาล’ หรือ ‘ฉากการปฐมพยาบาล’
ยิ่งเรื่องไหนต้องการชูความโศกเศร้า และความดราม่าเพื่อสร้างความเข้มข้นให้กับหนังด้วยแล้ว ละครเรื่องนั้นก็พยายามจะขยี้สิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกอินไปกับละคร แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ‘ความไม่สมจริง’ ของละครไทยกับการแพทย์ จนบางครั้งหนังก็สร้างความโป๊ะและทำให้คนเกิดความเข้าใจผิดมานานมาก ๆ
ดราม่ามาตลอดกับฉากความไม่สมจริงของละครไทย
โดยฉากดังกล่าวอาจจะพูดถึงการเข้ารับการรักษาของตัวละคร ฉากดูแลคนป่วย ฉากการปฐมพยาบาลไม่สมจริง จนทำให้เกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดอย่างเหล่าคนดู ว่าจริง ๆ แล้วละครไทยควรจะใส่ใจเรื่องความเป็นความตายของคนให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่หยิบฉากใส่ ๆ ไปโดดยขาดความไตร่ตรองก่อน

แต่หากพูดถึงดราม่าชิ้นใหญ่ที่ละครไทยสร้างเอาไว้ คงต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน กับละครเรื่องเพื่อนรักเพื่อนริษยา ที่ออกอากาศทางช่อง 3 โดยมีฉากจบของเรื่องคือ ‘อุไร’ ที่ในตอนนั้นรับบทโดยคริส หอวัง นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียง หลังจากป่วยหนักด้วยโรคเอดส์ระยะสุดท้าย สภาพตอนนั้นคือผิวหนังเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะไม่น่ามอง และจบชีวิตลง
แน่นอนว่าปัญหานี้เกิดขึ้นโดยทันทีซึ่งในขณะนั้นเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ได้มีการส่งหนังสือถึงผู้จัดละครว่า ละครเรื่องนี้ตีความผู้ป่วยเอดส์ไม่ถูกต้อง นั่นอาจทำให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจผิด พร้อมเรียกร้องให้มีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์
อีกทั้ง ความเป็นจริงของผู้ป่วย เมื่อรู้ว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวีก็จะต้องเริ่มรักาด้วยยาต้านไวรัสทันที ที่สำคัญก็ไม่จำเป็นจะต้องป่วยเป็นเอดส์ด้วย เพราะยิ่งได้รับยาเร็วเท่าไหร่ ภูมิคุ้มกันในร่างกายก็จะดีเท่านั้น และสามารถใช้ชีวิตได้ไม่แตกต่างกับคนทั่วไป
ถึงเวลาแล้วยังที่ละครไทย จะสร้างฉากเข้าโรงพยาบาลให้สมจริง
นอกจากนี้ยังมีฉากอื่น ๆ เกี่ยวกับฉากทางการแพทย์ ที่เกิดความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยของวงการละครไทย ส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 4 เรื่องหลัก ดังนี้
Makeup ไม่สมจริง

นี่ถือเป็นเรื่องโป๊ะแรก ๆ ที่สร้างความขำขันให้กับผู้ชม เพราะฉากที่ตัวละครป่วยมาก ๆ คงไม่มีใครติดขนตาสะพรึงจัดเต็มหรอกจริงไหม นอกจากนี้แล้วโดยปกติคนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดหรือเข้าห้องคลอด จะต้องลบเครื่องสำอางออกให้หมด ล้างน้ำยาทาเล็บ (ปัจจุบันมีโรงพยาบาลบางแห่งอนุญาตให้แต่งแบบเบาๆ) สาเหตุที่มีข้อห้ามเป็นเพราะแพทย์ต้องการดูผิวหน้าของคนไข้ที่เปลี่ยนไปหากเกิดความผิดปกติหลังผ่าตัด ส่วนน้ำยาทาเล็บก็มีผลต่อความอิ่มตัวของออกซิเจนในเม็ดเลือดแดงนั่นเอง
การ CPR เพื่อปั๊มหัวใจ

การ CPR ถือเป็นนาทีชีวิตเลยก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้อาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันจริง ๆ เพราะงั้นแล้วการที่ละครปรากฏฉาก CPR ที่ถูกต้อง ก็จะทำให้คนเกิดภาพจำที่ดี อย่างที่ภาพข้างต้นคือการปั๊มหัวใจที่ถูกต้อง คือตรงบริเวณกระดูกหน้าอกเหนือลิ้นปี่เล็กน้อย หรือระหว่างหัวนม 2 ข้าง มาตรงกลาง แต่สำหรับละครบางเรื่องบ้างก็กดหน้าอก บ้างก็กดท้อง ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ๆ (หากคนทำในชีวิตจริง)
ช็อคไฟฟ้าแล้วฟื้น

การช็อคไฟฟ้ากระตุกหัวใจ (defibrillation) จะใช้ได้เพียงแค่กรณีที่ตรวจจับคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วพบความผิดปกติ แต่ไม่มีชีพจรเท่านั้น แต่ในกรณีที่คลื่นไฟฟ้าเป็นเส้นตรงยาว การช็อคไฟฟ้ากลับไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงแค่ CPR ต่อไปเรื่อย ๆ
การแจ้งข่าวร้ายให้ญาติผู้ป่วยฟัง

เชื่อว่าข้อนี้หลายคนคงได้ยินประโยคคุ้นหูว่า ‘เสียใจด้วยครับ หมอทำเต็มที่แล้ว’ หรือ ‘คนไข้ทนพิษบาดแผลไม่ไหว’ โดยความเป็นจริงคำพูดเหล่านี้ ไม่มีจริง แต่คุณหมอจะอธิบายสาเหตุการเสียชีวิตให้กระจ่าง เพื่อให้ญาติได้ทำความเข้าใจของการจากไป ซึ่งดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ ละครไทยกลับไม่ใส่ใจ แต่กลับไปเลือกใช้ประโยคดังกล่าว จนทำให้กลายเป็นคำพูดติดปากของบทหมอในละครไปซะแล้ว
ทั้งหมดนี้ก็เป็นก็เป็นข้อผิดพลาดที่ละครไทยไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไหร่ อีกเรื่องคือการใช้ประกันสุขภาพ ที่ในความเป็นจริงคือเรื่องสำคัญ ซึ่งหากในละครต่าง ๆ ได้มีการบอกรายละเอียดหรือวิธีการใช้ไป อาจทำให้คนเกิดความสนใจและสามารถทำตามได้ในกรณีฉุกเฉิน

หวนความหลัง เทศกาลดนตรีไลฟ์สไตล์ยอดนิยมที่คนทั่วโลกคิดถึง
นอกจากร้านอาหาร ธรรมชาติ และสถาปัตยกรรมที่งามตาจะเป็นคความนิยมของคนชอบเที่ยวแล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมานี้ เทศกาลดนตรีระดับโลกได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของคน โดยผู้ที่ชื่นชอบก็มีความใฝ่ฝันที่ตรงกันว่าครั้งหนึ่งฉันต้องได้เก็บเสื้อผ้าแล้วเดินทางไปสัมผัสด้วยตา ฟังด้วยหูดูสักครั้งให้ได้
Coachella เทศกาลดนตรีระดับโลกถูกเลื่อนเพราะโควิด
Coachella เป็นเทศกาลดนตรี หรือ Music Festival ที่มีความยิ่งใหญ่ระดับโลก ปกติแล้วงานนี้จะจัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ที่ mpire Polo Club เมือง Indio รัฐ California เริ่มจัดงานครั้งแรกในปี 1999 และจัดแบบจริงจังจนถึงปัจจุบันในปี 2001 เสริมทัพด้วยไลน์อัพศิลปินระดับเทพ และการตกแต่งที่อลังการ ส่วนรายได้ของงานนี้ก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะมูลค่าต่อปีมากถึงหลักพันล้านบาท

แต่แล้วเพราะด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ทำให้กิจกรรมหลาย ๆ อย่างมีอันต้องเลื่อนออกไปเพราะโควิด บ้างก็มีกำหนดบ้างก็ไม่มีกำหนดแต่บางกิจกรรมถึงแม้ว่าจะกำหนดเวลาชัดเจนแล้วแต่ก็ต้องเลื่อนออกไปอยู่ดี อย่าง เทศกาลดนตรี Coachella ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเวทีคอนเสิร์ตยักษ์ใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดแบบเต็ม ๆ
โดยก่อนหน้านี้เทศกาลดนตรี Coachella ได้มีการเลื่อนการจัดงานออกไปในช่วงเดือนตุลาคม 2020 แต่แล้วสถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น ผู้จัด Paul Tollett ก็ได้เลื่อนออกไปอีกในช่วงเมษายน 2021 ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะดีขึ้นกลับไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะในปี 2021 โควิดได้กลับมาแพร่ระบาดหนักทั่วโลกอีกครั้ง ทำให้ท้ายที่สุดการจัดงานก็ถูกยกเลิกแบบเป็นทางการ และทางผู้จัดฯ ก็ได้มีการกำหนดการจัดเทศกาลแบคร่าว ๆ ไว้ในช่วงปี 2022 ที่สำคัญก็ยังคงรักษาไลน์อัพของศิลปินทั้งหมดเอาไว้เหมือนช่วงปี 2020 แน่นอนว่าวงร็อกในตำนานอย่าง Rage Against the Machine และแร็ปเปอร์ชื่อดัง Travis Scott ก็ยังคงมีชื่อปรากฏอยู่ในเฮดไลน์ปี 2022
นอกจากการพยายามรักษาไลน์อัพแล้ว ผู้จัดฯ ยังได้มีการเพิ่มชื่อศิลปินดังและนักร้องหน้าใหม่ที่มาแรงเข้าไป เพื่อต้องการสร้างความยุติธรรมในการรับฟังเพลงของเหล่าแฟนคลับ เพื่อให้พวกเขาได้เจอกับทุกคนตามที่ผู้จัดฯ เคยบอกเอาไว้
แต่ทั้งนี้ Frank Ocean หนึ่งในศิลปินที่แฟน ๆ รอคอย ได้มีการประกาศว่าขึ้นเล่น เทศกาลดนตรี Coachella ในช่วงปี 2023

ก็ต้องดูกันอีกครั้งว่าในปี 2022 จะสามารถจัดเทศกาลดนตรี Coachella ได้หรือไม่ เพราะหากโควิดไม่ดีขึ้นก็คงต้องมีการเลื่อนการจัดงานออกไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีกำหนด ซึ่งผู้จัดฯ Paul Tollett มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเขาเองก็ไม่อยากรีบจัดงาน ถ้าหากยังไม่มั่นใจว่าผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสประสบการณ์อย่างเต็มรูปแบบหรือไม่ นอกจากนี้ยังได้มีการออกมาตรการให้ผู้เข้าชมและทีมงานทุกคนต้องฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเท่านั้น จึงจะเข้าร่วมคอนเสิร์ตได้ แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ทุกคนจะสามารถทำร่วมกันได้
คุณเป็นคนหนึ่งที่รอคอยเทศกาลดนตรีเหล่านี้ หรือไม่
นอกจากเทศกาลดนตรี Coachella ที่เป็นที่รอคอยของคนทั้งโลกแล้ว ก็ยังมีเทศกาลดนตรีอื่น ๆ ที่หลายคนให้ความสนใจ วันนี้เราพาทุกคนไปย้อนรอยเทศกาลดนตรีน่าไปกันหน่อยดีกว่า เผื่อทั้งหมดนี้จะกระตุ้นต่อมอยากเที่ยวของทุกคนได้
Primavera Sound Festival Barcelona

สำหรับงานนี้จัดขึ้นที่ Parc del Fòrum บาเซโลนา ประเทศสเปน ไลน์อัพของงาน Primavera จะจัดกันต่อเนื่องยาว ๆ 4 วัน จัดมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2001 นอกจาก 4 วันหลักที่จัดเป็นคอนเสิร์ตแล้ว ทางคณะจัดงานฯ ยังได้มีการจัดตารางทัวร์ของศิลปินทั่วทั้งสเปนตลอดทั้งปีอีกด้วย ที่สำคัญงานนี้ยังไม่ได้เอาใจแค่นักร้องขวัญใจคนทั่วไปอย่างเดียว แต่ยังได้จัดงานสำหรับคนรักดนตรีนอกกระแสด้วย
Clockenflap

มาต่อที่เทศกาลดนตรีของฝั่งเอเชียกันบ้าง สำหรับ Clockenflap เป็นเทศกาลดนตรีที่จัดขึ้น 3 วัน 3 คืน ณ เกาะฮ่องกง เป็นแหล่งรวมดนตรีหลายสไตล์ ทั้งดนตรีรุ่นใหญ่ในตำนาน ดนตรีนอกกระแส ไปจนถึงดนตรีคนรุ่นใหม่ไฟแรงก็มีให้ชมหมด สำหรับสถานที่จัดจะอยู่ที่ Central Harbourfront Event Space, Hong Kong
St. Jerome’s Laneway Festival

ปิดท้ายกันด้วย St. Jerome’s Laneway Festival เทศกาลดนตรีขนาดกลาง สำหรับเทศกาลนี้มีจุดเริ่มต้นครั้งแรกในประเทศออสเตรเลีย จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยายอาณาเขตการจัดงานในเมืองต่าง ๆ ของประเทศ ยาวไปถึงนิวซีแลนด์ และประเทศล่าสุดคือสิงคโปร์ใกล้ ๆ บ้านเรา ซึ่งเทศกาลดนตรีนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาฟังเพลงและกำลังหาแนวเพลงที่ชอบ เพราะมันคือแหล่งรวมดนตรีนอกกระแส ที่คุณจะไม่สามารถรู้ไลน์อัพของการแสดงได้เลย
เอาเป็นว่าใครที่เป็นคอดนตรี คอคอนเสิร์ต ก็เตรียมร่างกาย เตรียมเงินเก็บใน สล๊อตเว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นให้พร้อม พองานเทศกาลดนตรีเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่เราจะได้ไปมันส์สุดเหวี่ยงให้คุ้มค่ากับการรอคอย

ล้มแล้วลุกใหม่ จุดไฟในตัวด้วยหนังดี สร้างแรงบันดาลใจ
เดินทางกันมาเกินครึ่งปีแล้ว ในปีนี้ต้องยอมรับเลยว่าเราทุกคนต้องเจอกับปัญหาใหญ่ ๆ หนัก ๆ อย่างโควิด จนทำให้หลายคนเกิดความเครียดสะสม ทั้งเครียดเรื่องโรค เรื่องการใช้ชีวิต เรื่องเศรษฐกิจ และปัญหาอื่น ๆ ที่มันคารังคาสัง
หมดไฟในการทำงาน หนังเหล่านี้อาจช่วยคุณได้
ด้วยปัญหาเหล่านี้คงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนจึงเริ่มมีปัญหาหมดไฟกันมากขึ้น เพราะเราไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตแบบที่เคยใช้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ทำอย่างใจคิด แต่ก็ยังมีคนอีกเยอะที่ต้องการจะปลุกไฟในตัวเอง อยากจะวางแผนสิ่งที่ต้องการทำในอนาคต (เมื่อโรคระบาดหายไป) และหากใครที่ต้องการกำลังใจเหล่านี้ วันนี้คุณมาถูกที่แล้วล่ะ
เพราะวันนี้เรามาบอกต่อสิ่งดี ๆ กับทุกคน ด้วยการรวบรวมหนังดีที่ช่วยให้คุณได้สร้างพลังบวก และปลุกไฟในตัวกันอีกครั้ง ใครที่กำลังเบื่องานเบื่อเรียนหรือเบื่อความเป็นอยู่ ลองดูหนังเหล่านี้มันอาจจะช่วยให้คุณหายเครียด คลายเบื่อก็ได้
Wonder (ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์)

เปิดมาด้วยหนังฟีลกู๊ดที่มีเค้าโครงมาจากนิยาย เล่าถึงเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมโรคเทรเชอร์ คอลลินส์ ที่มีใบหน้าไม่เหมือนกับเด็ก ๆ ทั่วไป ด้วยความเป็นห่วงของพ่อแม่เลยให้เจ้าหนูเรียนแบบโฮมสคูลมาโดยตลอด แต่แล้ววันหนึ่งก็ต้องการให้เจ้าหนูมีสังคมเหมือนคนอื่น ๆ เลยตัดสินใจส่งเข้าโรงเรียนทั่วไป แล้วเรื่องราวต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นมากมาย เด็กชายคนนี้ต้องผ่านทั้งคำล้อเลียน คำดูถูก ไม่มีเพื่อนคบ และอื่น ๆ แต่ด้วยความดีเลยทำให้ตอนจบมันน่าประทับใจสุด ๆ เลยล่ะค่ะ
Miracle in Cell No.7 (ปาฏิหาริย์ห้องขังหมายเลข 7 )

หนังฟีลกู๊ดน้ำตาแตกที่จะทำให้คุณประทับใจและน้ำตาไหลได้ตลอดทั้งเรื่อง นี่เป็นเรื่องราวของ ‘ยงกู’ คุณพ่อที่เป็นออทิสติก ที่กลายเป็นแพะรับบาปในคดีอาชญากรรมจนต้องเข้าคุก ทั้ง ๆ ที่เขาเองไม่ได้มีความผิดอะไร แต่เขามีลูกสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่เขาเป็นห่วงมากและไม่มีคนดูแล เมื่อเพื่อน ๆ ในคุกรู้เข้าก็รีบช่วยหาวิธีพาลูกของเขาเข้ามาเจอเขาให้ได้
The Secret Life Of Walter Mitty (ชีวิตพิศวง ของ วอลเตอร์ มิตตี้)

เล่าถึงเรื่องราวชีวิตการทำงานที่แสนจะน่าเบื่อของ Walter Mitty ที่เขาทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศที่บริษัทนิตยสารแห่งหนึ่ง เขาทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการทำงานมาก เขาได้รับเพียงแค่เงินเดือนเท่าที่ควรจะได้เท่านั้น แต่เขากลับไม่ได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนเลย แล้ววันหนึ่งฟิล์มเลข 25 ที่ใช้สำหรับขึ้นปกนิตยสารก็หายไป ทำให้เขาต้องออกตามหาฟิล์มนี้ ชีวิตของเขาจะมีสีสันเพิ่มขึ้นหรือไม่ ต้องไปติดแล้วนะ
The Gifted (อัจฉริยะสุดดวงใจ)

เป็นหนังที่สะท้อนชีวิตในครอบครัวได้ดีมาก เรื่องราวเล่าถึงแมรี่ เด็กหญิงวัย 7 ขวบ และแฟรงค์น้าชายที่เลี้ยงดูเธอ เพราะแม่ของเธอตายไปและฝากแม่รี่เอาไว้ แฟรงค์ต้องการที่จะเลี้ยงหลานสาวให้เหมือนเด็กปกติทั่วไป เล่นซน มีความสุข ทำในสิ่งที่อยากทำ ซึ่งมันเป็นความคิดที่แตกต่างจากแม่ของแม่รี่ที่ต้องการให้เธอเป็นเด็กอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบ
Steve Jobs (2015)

หนังดีที่คนไม่ค่อยพูดถึง สำหรับเรื่องนี้จะพูดถึงความสำเร็จของ สตีฟ จอบส์ ที่เขาสามารถปฏิวัติวงการดิจิทัลของโลกได้ และเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง หนังได้ถ่ายทอดความมุ่งมั่นและการทำงานในการบริหารที่น่าศึกษา ทั้งในเรื่องของคิดความนอกกรอบ การกล้าตัดสินใจ การทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ในเรื่องก็ได้มีการพูดแทรกถึงครอบครัวของเขา ให้มาขยายความดราม่าท้ายเรื่อง มันแสดงให้คนเห็นเลยว่าแม้ว่าเขาจะเป็นคนเก่งแค่ไหน แต่คนเราก็หนีไม่พ้นปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาครอบครัวนั่นเอง
The Founder (2016)

เรื่องราวความสำเร็จของเรย์ คร็อก เซลล์แมนที่ได้รู้จักกับสองพี่น้อง ดิ๊ก และ แม็ค ผู้ก่อตั้งร้านอาหารจานด่วน แมคโดนัลด์ เรย์มองเห็นถึงโอกาสของร้านแห่งนี้เขาเลยตัดสินใจของซื้อแฟรนไชส์ และมันก็กลายเป็นธุรกิจพลิกตลาดแฮมเบอร์เกอร์ในตอนนั้น แต่ด้วยข้อสัญญาต่าง ๆ ทำให้เขาเสียเปรียบอยู่มาก เขาจึงพยายามดิ้นรนหาวิธีเพื่อให้เขาเป็นเจ้าของธุรกิจเพียงคนเดียว และมันก็สำเร็จ กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกจนถึงทุกวันนี้
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างหนังดีที่ช่วยปลุกไฟในตัวให้ลุกโชนอีกครั้ง ที่เรานำมาฝากทุกคนกัน แต่ละเรื่องก็จะเป็นอารมณ์หนังแบบ Feel good ที่ช่วยสร้างความสนุก สร้างแรงบันดาลใจ และมีเกร็ดข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คุณได้ฉุกคิด บอกเลยว่าหากคุณดูจบจะได้รับพลังงานดี ๆ อย่างแน่นอน แต่หากใครที่อยากคลายเครียด ลองกดสมัคร gclub มาเป็นเพื่อนคลายเครียดก็ได้นะ

ดนตรีบำบัด ศาสตร์แห่งแพทย์ทางเลือกที่คนยุคโควิดต้องพึ่งพา
ความเครียดอาจจะส่งผลร้ายแรงถึงการตัดสินใจจบชีวิต
ตอนนี้สถานการณ์โควิดในไทยได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้เสียชีวิตรายวัน และจำนวนผู้ที่รอรับการรักษาอยู่นั้นมีจำนวนที่เยอะขึ้นมากกว่าปีก่อนหลายเท่าตัว และคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความรุนแรงเหล่านี้จะทำให้เราแทบทุกคนเกิด ‘ความเครียดสะสม’
ทั้งความเครียดเรื่องโรค ความเครียดในการทำงาน การใช้ชีวิต สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงเศรษฐกิจ ทำให้ทุกวันนี้เราได้เห็นข่าวการฆ่าตัวตายที่น่าหดหู่ เพราะพวกเขาเหล่านั้นอาจจะเดินทางมาจนสุดทางตัน หมดหนทางในการแก้ไขปัญหาแล้ว
ความเครียดคืออะไร?
ความเครียดเกิดขึ้นมาจากภาวะทางอารมณ์ ความรู้สึก ที่ถูกบีบคั้น หรือถูกกดดัน (อาจมาจากหลายปัจจัย หรือปัจจัยเดิม ๆ ที่พบบ่อยครั้ง) ซึ่งความเครียดเหล่านี้หากไม่ได้รับการระบายหรือการจัดการที่ถูกวิธี แน่นอนว่ามันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน และสามารถแปรเปลี่ยนไปสู่โรคซึมเศร้าได้ หากไม่สามารถจะจัดการความเครียดได้ด้วยเองได้ ก็ควรเข้าพบจิตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ

แต่หากใครที่ยังพร้อมสู้หรืออยากไปต่อ ก็จำเป็นจะต้องเริ่มจัดการความเครียดเหล่านี้ด้วยตัวเองดูสักตั้ง โดย ‘ดนตรีบำบัด’ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาผู้ป่วย และพัฒนาศักยภาพทางด้านอารมณ์ ร่างกาย ความคิด และจิตใจ
ดนตรีบำบัด คืออะไร?
ทฤษฎีดนตรีบำบัด หรือ Music Therapy ถือเป็นทฤษฎีที่วงการแพทย์ได้หยิบศาสตร์จิตวิทยาและศิลป์ทางดนตรีเข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยในวงการแพทย์ยกให้ดนตรีบำบัดมาเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาอาการป่วยทางใจให้คนคลายความกังวลและลดความเครียดที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย (อ้างอิง โรงพยาบาลเปาโล) ที่ได้มีการศึกษาเรื่องของการฟังดนตรีบำบัดของผู้ป่วยที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถลดความเครียดและความกังวลได้จริง เพราะฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียดมีจำนวนที่ลดน้อยลงมากกว่าการใช้ยาลดความเครียดเสียอีก
นอกจากนี้ดนตรีบำบัดยังช่วยลดภาวะซึมเศร้า จะเริ่มปรับจากอารมณ์ให้สงบ นอนหลับได้ง่ายขึ้น ช่วยกระตุ้นสมอง และปรับระดับ Cortisol ฮอร์โมนที่มีผลต่อความเครียด ที่สำคัญดนตรีบำบัดยังไม่ได้มีการจำกัดว่าคุณจะต้องเลือกฟังเพลงแบบไหน เพราะคุณสามารถฟังได้ทุกประเภททั้งคลาสสิค สตริง ลูกทุ่ง หรือแม้แต่ Hiphop ฯลฯ

สงสัยหรือไม่ ดนตรีบำบัด…ช่วยบำบัดยังไง ?
จังหวะดนตรี
- อัตราการเต้นของหัวใจจะอยู่ที่ 70-80 ครั้ง/นาที ซึ่งหากเปิดดนตรีที่มีจังหวะประมาณนี้ จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย มีสมาธิ จากการที่สมองหลั่งสารแห่งความสุขออกมา
ความดังของเสียง
- เสียงที่เบานุ่ม ฟังง่าย จะช่วยให้คุณเกิดความสงบสุขและสบายใจ แต่ในขณะเดียวกันระดับเสียงที่สูงหรือดัง จะทำให้เกิดการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อได้ดี
การประสานเสียง
- ดนตรีที่มีการประสานเสียง เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถจัดการหรือควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ โดยการร้องเพลงร่วมกันหลาย ๆ คน หลาย ๆ เสียง จะช่วยให้ระดับอารมณ์ของผู้ป่วยเย็นลง อีกทั้งยังสามารถช่วยวัดระดับอารมณ์และความรู้สึกเพื่อประเมินการรักษาได้ด้วยนะ
ทำนองเพลง
- ทำนองเพลงและเนื้อเพลง เป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงอารมณ์เพลงได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นการเปิดบทเพลงที่ผู้ป่วยชื่นชอบก็จะช่วยให้เกิดการกระตุ้นและระบายความรู้สึกส่วนลึกของจิตใจได้ จนสุดท้ายตัวผู้ป่วยก็จะสามารถลดความกังวลได้นั่นเอง

และแม้ว่าดนตรีบำบัดจะไม่มีส่วนช่วยทำให้โรคร้ายแรงหายได้ แต่เสียงดนตรีที่ผู้ป่วยได้ฟังจะเหมือนกับการ Healing จิตใจ และช่วยรักษาโรคร้ายแบบทางอ้อมได้ เมื่อผู้ป่วยได้ฟังบทเพลงต่าง ๆ ก็เหมือนกับการได้รับพลังงานบวก ได้รับความสุข และพร้อมที่เข้ารับการรักษาทางด้านร่างกายต่อไป
สุดท้ายแล้วดนตรีไม่ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาสำหรับผู้ที่มีอาการป่วยเท่านั้น แต่สำหรับคนไม่ป่วยหรือไม่ได้มีอาการใด ๆ ก็สามารถฟังดนตรีเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ เพื่อความสบายใจ และเพื่อความเพลิดเพลินได้ เช่นเดียวกับการเล่นgclub เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ ที่ให้ทั้งความสนุกและความบันเทิงนั่นเอง

ซอมบี้ครองเมือง ปรากฏการณ์หนังผีดิบครองชาร์จแทบทุกสตรีมมิ่ง
ซอมบี้หนังอมตะฆ่าไม่ตาย กี่เวอร์ชั่นคนก็สนใจ
หากลองคิด ๆ ดูแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ หนังที่เรียกได้ว่าครองชาร์จสตรีมมิ่งและเป็นที่รอคอยของคอหนังหลายประเทศทั่วโลก ‘ซอมบี้’ จะต้องเป็นลิสต์หนังแรก ๆ ที่หลายคนเฝ้ารอ เพราะหนังซอมบี้แน่นอนเลยว่าหากมันถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วปูเรื่องวางเส้นเรื่องจากฝีมือผู้กำกับหลายประเทศ เนื้อเรื่องของมันก็จะมีกลิ่นอายของประเทศนั้น ๆ แฝงอยู่เสมอ
รู้หรือไม่ ซอมบี้มีที่มา แต่มาจากอะไรกันนะ?
แต่คุณหรือไม่ก่อนที่จะกลายมาเป็นซอมบี้ตำนานผีดิบเดินได้ที่เรารู้จัก แก๊งผีเหล่านี้ก็ไม่ได้โนเนมนะ เพราะพวกมันมีที่มาที่ไป พวกมันมาจากตำนานนิทานพื้นบ้านเฮติ ที่ว่ากันว่าศพคนตายทั้งหลายได้ถูกปลุกขึ้นมาให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ในโลกภาพยนตร์ซอมบี้ยุคแรก ๆ จะถูกปลุกขึ้นมาจากพิธีกรรมไสยศาสตร์ แต่เมื่อโลกก้าวไปข้างหน้าคนจึงได้อัปเกรดการกำเนิดของผีให้เป็นความผิดพลาดทางการทดลอง ไวรัสระบาด การแผ่รังสี ที่สำคัญยังได้มีการอัปเกรดความสามารถของผีดิบเดินได้เหล่านี้ด้วย
โดยภาพยนตร์ซอมบี้เรื่องแรกที่ถูกสร้างสรรค์โดย Hollywood คือ White Zombie ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คนให้ความสนอกสนใจกับซอมบี้ เรื่องนี้ศาสตราจารย์ David Castillo มหาวิทยาลัย Buffalo ในรัฐนิวยอร์ก ได้ให้ความเห็นว่า เพราะซอมบี้จะทำให้มนุษย์มองเห็นว่าตัวเองเป็นคนยังไง หากเกิดเรื่องราวต่าง ๆ จะใช้เกณฑ์ตัดสินใจแบบไหน ที่สำคัญยังเป็นข้อคิดให้คนเราต้องร่วมใจกันด้วย

คงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมหนังซอมบี้ในปัจจุบันถึงได้มีการปูเรื่องราวให้มีความแน่น แล้วปิดท้ายด้วยการเล่าที่มาที่ไป นิสัยคน ความเห็นแก่ตัว ความใจดี และความกล้าหาญ มันเลยทำให้คนได้ลุ้นระทึก ไปพร้อม ๆ กับความสนุกสนาน และอารมณ์ความเศร้าที่ครบรส
ซอมบี้ในเกาหลี เหตุใดโดดเด่นกว่าผีพื้นบ้าน
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของวงการหนังเกาหลี แต่คุณก็พอจะสัมผัสได้ว่าหนังหรือซีรีส์เกาหลีในตอนนี้ ‘ซอมบี้เกาหลี’ ได้ท็อปฟอร์มแบบสุด ๆ ทั้งหนังผียุคปัจจุบัน หรือแม้แต่ซอมบี้ยุคโซชอน ที่ได้มีการผสมผสานทั้งความสยองขวัญและเรื่องราวทางการเมืองได้อย่างกลมกล่อม
จมบี/ชมบี คนเกาหลีจะใช้คำนี้เรียกแทนซอมบี้ ส่วนตำนานซอมบี้เกิดขึ้นในเกาหลีเพียงแค่ประมาณ 200 ปีเท่านั้น ทั้งที่จริง ๆ แล้วอายุของประเทศเกาหลียาวนานกว่า 2,000 ปี ทั้งที่มีเวลาให้สะสมตำนานผีท้องถิ่นเยอะมาก แต่ท้ายที่สุดซอมบี้กลับตีตลาดวงการหนังและซีรีส์เกาหลีได้ดีกว่าผีรุ่นพี่หลายเท่าตัว
ส่วนสาเหตุที่ทำให้โดดเด่นเอามาก ๆ คงไม่ใช่เพราะอะไร คงเป็นเพราะในตอนนี้ใคร ๆ ก็ต่างคลั่งไคล้และชื่นชอบซอมบี้ยังไงล่ะ แล้วทำไมเกาหลีที่ขึ้นชื่อเรื่องการตีตลาดสื่อบันเทิงจะไม่จัดทำหนังประเภทนี้ออกมา ง่าย ๆ สั้น ๆ คำเดียวเลยก็คือ ‘มันขายได้’

และย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ภาพยนตร์ที่ทำรายได้แบบถล่มทลาย จนทำให้คนว้าวสุด ๆ คงเป็นเรื่อง Train To Busan (ด่วนนรก ซอมบี้คลั่ง) ภาพยนตร์ซอมบี้ที่แปลกแหวกแนว และเปิดศักราชกลิ่นอายซอมบี้เกาหลี จนทำให้มันโด่งดังแบบสุด ๆ ต่อมาก็คงเป็นศึกการเมืองในยุคโชซอนอย่าง Kingdom (ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เลือด) และ Rampant (นครนรกซอมบี้คลั่ง) ที่ให้ความเข้มข้นสมจริงแบบสุด ๆ แถมยังกล้าที่จะเอาเรื่องราวความเน่าเฟะทางการเมืองและความเห็นแก่ตัวของคนเอามาเล่า นั่นยิ่งทำให้คนดูรู้สึกคล้อยตาม สะใจ และสงสารชีวิตของตัวละครต่าง ๆ ได้อย่างเต็มเปา

แต่ท้ายที่สุดภาพยนตร์หรือซีรีส์ซอมบี้ต่าง ๆ ก็มักมีจุดจบที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็สามารถกำจัดไวรัสร้ายได้ บ้างก็ทิ้งปมเอาไว้ให้คนคิดเอาเอง หรือบางเรื่องก็ทิ้งเป็นปมชิ้นใหญ่ ที่ในอนาคตสามารถมาสานต่อให้เป็นจักรวาลซอมบี้ได้
เอาเป็นว่าใครที่ชื่นชอบดูหนังซอมบี้ก็อย่าลืมไปแวะดูหนังตามที่เราแนะนำเอาไว้ หรือหากใครมีหนังซอมบี้เจ๋ง ๆ แหวกแนวมาแนะนำ ก็ลืมมาบอกต่อกันด้วยล่ะ แต่ตอนนี้ยังออกไปดูหนังไม่ได้ก็ซื้อทีวีจอใหญ่มาดูกันให้จุใจก่อน แต่หากใครเบื่อ ๆ การดูหนังช่วงโควิดก็ลองเล่นเว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์แก้เบื่อก็ได้นะ

ไม่จำกัดเวลาดูหนัง เสี่ยงเป็น Computer Vision Syndrome
ทำไมหลายคนยกให้การดูหนังเป็นกิจกรรมแก้เครียด
ในช่วงโควิดแบบนี้เชื่อว่าหลายคนพยายามหากิจกรรมทำในช่วงกักตัว เพื่อเป็นการแก้เบื่อ แก้เหงา และฆ่าเวลาที่มีเหลือเฟือออกไป ซึ่งการดูหนังผ่านเว็บสตรีมมิ่งต่าง ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีตัวเลือกของภาพยนตร์ ซีรีส์ ตลอดจนรายการบันเทิงต่าง ๆ ให้เลือกชมเยอะมาก
ที่สำคัญการดูหนังนอกจากจะช่วยคลายเหงาให้กับตัวคุณได้แล้ว มันยังเหมือนกับการให้ครอบครัวได้กลับมาใช้เวลาร่วมกันอีกครั้ง จากที่เคยหันหลังไม่ค่อยคุยกัน ต่างคนต่างทำงานหรือกิจกรรมของตัวเอง ก็สามารถนำภาพยนตร์ต่าง ๆ มาเป็นตัวละลายพฤติกรรมของสมาชิกในบ้านได้นั่นเอง
ประโยชน์จากการดูหนัง ที่ให้มากกว่าความบันเทิง
ให้ความรู้และข้อคิด
- ภาพยนตร์แทบทุกเรื่องมักจะมีบางช่วงบางตอนหรือทิ้งท้ายแง่คิดสอนสังคมเอาไว้เสมอ ที่สำคัญยังมีภาพยนตร์ที่ตัวเด่นมักมีคาแร็กเตอร์เป็นอาชีพต่าง ๆ อาทิ ทนายความ, หมอ, นักข่าว ฯลฯ ทำให้ผู้ชมรู้สึกอินและได้รับความรู้ผ่านอาชีพนั้น ๆ แถมหนังบางเรื่องก็ยังอิงมาจากประวัติศาสตร์จริง ๆ แบบที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อนอีกด้วย

เสริมสร้างจินตนาการให้กับผู้ชม
- การดูหนังเหมือนกับการเปิดโลกอีกใบที่เราเองไม่เคยสัมผัส ทำให้เราได้เรียนรู้มุมมองใหม่ ๆ เกิดเป็นไอเดีย หรือบางคนก็มักมี Passion ในการทำอะไรบางอย่างมาจากหนัง เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นการสร้างแรงบันดาลใจที่เราต้องการทำให้สำเร็จในอนาคต
ลดความตึงเครียด
- แต่ข้อนี้คุณก็จำเป็นจะต้องรับชมภาพยนตร์ที่ผ่อนคลาย เช่น หนังรัก, หนังการ์ตูน, อนิเมชั่น หรือหนัง Feel good เกี่ยวกับครอบครัวนะ ถ้าหากเผลอไปดูหนังไล่ฆ่า ไล่ฟันกัน เกรงว่าจะยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับคุณได้
ช่วยกระชับความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว
- อย่างที่ได้บอกว่าการดูหนังเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว จากที่ไม่ค่อยได้พูดกันเพราะ ไม่มี Topic ในการพูดคุย แต่การดูหนังนี่แหละจะช่วยให้คุณจั่วหัวข้อในการคุยได้ เพื่อวิเคราะห์บทหนัง หรือพูดถึงฉากดี ๆ ที่แสนประทับใจ
แต่ดูหนังต้องรู้จักจำกัดเวลา ไม่งั้นโรคจะถามหาได้
แต่สิ่งที่มีประโยชน์ก็ใช่ว่าจะไม่มีโทษเสมอไป เช่นเดียวกับการดูหนัง หากคุณไม่กำหนดระยะเวลาให้ดี ไม่แบ่งเวลาไปทำอย่างอื่น คุณก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นโรคต่าง ๆ ได้ ที่แน่ ๆ การนั่งดูหนังแบบไม่มีลิมิตเกินกว่า 2 ชั่วโมง มันมักจะส่งผลต่อความเสี่ยงในอาการ Computer Vision Syndrome ที่ไม่ได้มีผลแค่กับการนั่งจ้องคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่มันยังมีสาเหตุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีแสงสีฟ้า

ซึ่งอาการนี้สามารถเกิดกับคนได้ทุกเพศทุกวัย มักมีจุดเริ่มต้นมาจากการเพ่งหน้าจอเป็นเวลาติดต่อกันนานกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป อยู่ในที่ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ หรือแม้แต่การปรับความสว่างของหน้าจอไม่มีเหมาะสมก็มีส่วนทำให้เกิดอาการนี้ได้เช่นกัน
โดยอาการเริ่มต้นของ Computer Vision Syndrome คือจะเกิดอาการตาพร่ามัว ตาล้า ตาแห้ง เห็นภาพซ้อน ปวดรอบๆดวงตา แต่บางรายที่เริ่มมีอาการหนักขึ้นก็อาจมีการปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดไหล่ แต่ทั้งนี้ Computer Vision Syndrome ก็อาจมีปัจจัยเกิดมาจากปัญหาสายตาที่ไม่ได้รับการแก้ไขที่ดี ทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง แต่เพื่อเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด ก็จำเป็นจะต้องให้เวลาสายตาได้พักผ่อนบ้าง อย่าฝืนมากเกินไป เพราะอาจจะเสี่ยงต่อความอันตรายที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีโรคร้ายที่เกิดขึ้นจากการดูหนังเป็นเวลานานอีก ดังนี้

อาการนอนไม่หลับ
- หลายคนมักประสบปัญหานี้หลังจากที่นั่งดูหนังหรือซีรีส์ยาวนานเป็นเวลาหลายชั่วโมง หรือบางคนอาจจะข้ามวันข้ามคืนโดยไม่พักผ่อน รู้ตัวอีกทีเมื่อต้องการกลับมานอนเวลาเดิมก็ทำไม่ได้แล้ว หลับได้ยากขึ้น และยังทำให้รู้สึกเพลียมากหลังตื่นนอน ส่งผลให้นาฬิกาชีวิตเริ่มผิดเพี้ยนไป หากไม่ได้รับการแก้ไขมันอาจส่งผลระยะยาวและยังส่งผลต่อการทำงานของสมองอีกด้วย
ระวังโรคอ้วน
- สำหรับอาการติดเตียง ติดโซฟา ฝรั่งมักให้คำนิยามว่า couch potato ที่หมายถึงคนที่นั่งไปวัน ๆ ไม่ยอมลุกไปไหน ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจะทำให้คุณเสี่ยงโรคอ้วน น้ำหนักขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เพราะความอ้วนมักเป็นบ่อเกิดของโรคร้าย ทั้งเบาหวาน ความดัน และไขมันในเส้นเลือด
กระดูกสันหลังผิดปกติ
- ต่อให้จะบอกว่าเป็นเก้าอี้หรือโซฟาเพื่อสุขภาพราคาแพงแต่คุณก็ยังนั่งด้วยท่าทางแบบผิด ๆ เป็นเวลานาน มันก็ไม่ได้ช่วยให้กระดูกสันหลังของคุณทำงานได้ดีขึ้นหรอก เพราะฉะนั้นแล้วคุณจะต้องปรับพฤติกรรมการนั่ง หรือลุกไปหาอะไรอย่างอื่นทำบ้างหากไม่ต้องการให้กระดูกสันหลังเสื่อมเร็ว
ทั้งหมดนี้เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของการดูหนังที่เรานำมาฝากทุกคนกัน เอาเป็นว่าทุกอย่างก็ทำแบบพอดีนะ ถ้ารู้ลิมิตรับรองว่าการดูหนังจะให้ประโยชน์คุณแบบเต็ม ๆ จนไม่ต้องห่วงเรื่องต้องไปนอนใช้ประกันสุขภาพที่โรงพยาบาลเลยล่ะ

งานวิจัย | 10 อย่างคนทำมากขึ้น-น้อยลง ช่วงเก็บตัว Covid
ต้องบอกว่าแต่ละบ้าน แต่ละครอบครัวมีกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไปเมื่อต้องอยู่บ้านเป็นระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อลดการแพร่เชื้อของ Covid-19 โดยในบางประเทศนั้น มีการ Lock-Down ทำให้การออกจากบ้านแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
การอยู่บ้านโดยหากิจกรรมทำ นอกจากจะลดความเสี่ยง และการแพร่เชื้อแล้ว ยังแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างมาก ซึ่งปัญหาสำคัญของเรื่องนี้คือความเบื่อ และความจำเจ ที่ต้องตื่นมาและไม่สามารถออกไปไหนได้ ดังนั้นวันนี้เรามี งานวิจัยสำหรับคนที่กักตัวอยู่บ้าน ว่าเค้าทำอะไรมากขึ้น หรือ น้อยลงบ้าง?
งานวิจัยจากรัฐบาล ออสเตรเลีย ใครทำอะไรบ้างช่วง Lock-down?
ข้อมูลนี้มาจาก aifs.gov.au ซึ่งเป็นส่วนงานภาครัฐของ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งต้องการรู้กิจกรรมของผู้คนที่อยู่ที่บ้าน ว่าทำอะไรมากขึ้น หรือ น้อยลง (Activities we did less of และ Activities we did more of) รวมถึงเรื่องของบุคคลในบ้านว่า ใครทำอะไรอย่างไร อีกด้วย เรามาดูผลลัพธ์กัน

แท่งชาร์ตสีชมพูก็คือ กิจกรรมที่ทำมากขึ้นช่วงกักตัวอยู่บ้าน ทำเท่าเดิมคือสีส้ม และ สีม่วงคือสิ่งที่ทำน้อยลง
- การแบ่งอาหารกัน แชร์อาหาร น้อยลง – เห็นได้ชัดว่า คนแชร์อาหารกันน้อยลง
- การเต้นรำ – ยังคงเท่าเดิม หรือ คงที่
- เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่นภาษา – ไม่ได้มีการหาความรู้เพิ่มเติมมากขึ้นกว่าเดิมมากนัก
- เข้าสังคม – การเข้าสังคมน้อยลงมาก เมื่อเทียบกับก่อนโควิด
- ฟังเพลง ดูคอนเสิร์ต – ทำเท่าๆกันกับช่วงก่อนโควิด
- อ่านหนังสือ – การอ่านหนังสือนั้นยังคงทำเท่าๆเดิม
- ออกกำลังกายในบ้าน หรือ นอกบ้าน – คนส่วนใหญ่ยังคงออกกำลังกายเช่นเดิม
- เล่นเกม – มีการเล่นเกมมากขึ้นกว่าเดิม
- ทำงานศิลปะ – มากขึ้นกว่าเดิม
- ดูทีวี หรือ หนัง – มากขึ้นกว่าเดิมมาก
เด็กๆ หรือ วัยรุ่นทำอะไรในช่วงกักตัว?
จากงานวิจัย และ Survey พบว่า เด็กวัยรุ่น และ เด็กเล็ก ใช้เวลามากถึง 2 ใน 3 ของวัน ในการดูทีวี และ ครึ่งหนึ่งของเวลาใช้เล่นเกม แต่มีเพียงแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น ที่ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของภาษา
สำหรับผู้ที่ดูหนัง หรือทีวีมากขึ้น มักจะเป็นช่วงอายุ 18-29 ปี กลุ่มคนที่เล่นเกมคือช่วงอายุ 18-29 ปี แต่ที่น่าสนใจมากก็คือ กลุ่มอายุ 18-70 ปี ในออสเตรเลียมีการทำงานศิลปะมากยิ่งขึ้น
เข้าสังคมกันยังไง? หากไม่ได้ออกไปเจอผู้คน?
จากที่มีการกล่าวถึงสิ่งที่คนทำน้อยลง มากที่สุดก็คือ การเข้าสังคม คำถามคือ แล้วคนเหล่านี้ที่กักตัวอยู่บ้าน ไม่มีการพูดคุยกับใครเลยหรือ? จริงๆแล้ว การเข้าสังคมยังคงมีอยู่ แต่จะเป็นการใช้โทรคุยกัน หรือ การใช้เวลาใน Virtual World คือผ่านการคุยด้วย Technology นั่นเอง
สำหรับคนที่อยู่คนเดียว ใน Survey ยังกล่าวต่อไปว่า เป็นกลุ่มที่ออกไปกินข้าวนอกบ้าน และเป็นกลุ่มที่ นำอาหารออกไปแบ่งปันคนอื่นๆ (ซึ่งคาดว่าน่าจะรู้สึกเหงามาก)
ออกกำลังกายกันยังไง?
หากดูจากรูปนี้แล้ว การออกกำลังกายนั้น 17% จะไปออกนอกบ้านร่วมกับคนอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ได้พบเจอผู้คนบ้าง และเช่นเดียวกันก็คือ คนที่ออกไปออกกำลังกายนอกบ้านมักจะเป็นกลุ่มคนที่อยู่ตัวคนเดียวนั่นเอง
และมีข้อมูลที่น่าสนใจจาก Runrepeat.com ว่า ผู้ที่ออกำลังกายสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพิ่มขึ้น 88% ผู้ที่ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น 3 ครั้งต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้น 38% และ สุดท้ายผู้ที่ออกกำลังกาย 4 ครั้งต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นถึง 14% อีกด้วย
โดยสรุปแล้ว
- กิจกรรมที่ผู้คนใช้เวลามากที่สุดคือ ดูทีวี และ ดูหนัง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนอายุต่ำกว่า 30 ปี
- ส่วนที่ตามมาก็คือ การใช้เวลารังสรรค์ งานศิลปะ
- คนที่ทำงานแบบ Work From Home (WFH) มักจะมีการเอาอาหารออกไปแบ่งปันผู้อื่น ออกกำลังกาย เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- คนที่อยู่ตัวคนเดียวมักจะเป็นกลุ่มคนที่ออกนอกบ้านมากที่สุด
- การออกกำลังกายสำคัญ โดยที่ มีคนทำมากที่สุด
- กิจกรรมที่น้อยลงคือ การสังสรรค์กับผู้คน
การดูหนังฟังเพลง ยังคงเป็นกิจกรรมที่ดีต่อใจในช่วงโควิด และช่วงยากลำบากแบบนี้ ซึ่งหลายคนผันตัวเองออกไปทำงานอื่นๆ ที่เป็นงานแบบ sideline มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การอยู่บ้าน ทำกิจกรรมในบ้านยังคงเป็นเรื่องที่ปลอดภัยที่สุด และขอให้ทุกคนปลอดภัยจากโรคร้ายนี้